สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ฉายา ญาณฉนฺโท

          สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ฉายา ญาณฉนฺโท นามเดิม หม่อมราชวงศ์เจริญ ราชสกุล อิศรางกูร เป็นสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกาย เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ และอดีตเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหารและวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!

          สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ มีนามเดิมว่าหม่อมราชวงศ์เจริญ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2400 ตรงกับแรม 12 ค่ำ เดือน 9 ปีมะเส็ง เป็นบุตรของหม่อมเจ้าถึก (พระโอรสในสมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์) ภูมิลำเนาเดิมอยู่บ้านบางอ้อ (อำเภอบ้านนา) จังหวัดนครนายก แล้วติดตามบิดาเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เริ่มแรกได้ศึกษากับบิดา ต่อมาไปศึกษาภาษาบาลีกับพระอาจารย์จีน จนอายุได้ 7 ขวบ บิดาจึงนำไปถวายเป็นศิษย์ของหม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด เสนีวงศ์) ขณะพระองค์ยังเป็นหม่อมเจ้าพระเปรียญอยู่วัดระฆังฯ และศึกษากับพระอมรเมธาจารย์ (เกษ) ขณะยังเป็นมหาเปรียญ กับหม่อมเจ้าชุมแสงซึ่งเป็นลุง และกับพระโหราธิบดดี (ชุม) ศึกษากับอาจารย์ทั้ง 4 ท่านนี้เป็นหลัก นอกจากนี้ก็ศึกษากับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) เป็นต้นด้วย

ปีมะเมีย พ.ศ. 2413 บรรพชาเป็นสามเณร และเข้าสอบพระปริยัติธรรมได้เปรียญธรรม 3 ประโยค ขณะอายุได้ 14 ปี ถึงปีชวด พ.ศ. 2419 ได้เข้าสอบอีก ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท ได้เพิ่มอีก 1 ประโยคเป็นเปรียญธรรม 4 ประโยค ต่อมาในปีขาล พ.ศ. 2421 ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีหม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ ขณะยังเป็นหม่อมเจ้าพระพุทธุปบาทปิลันธน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และในปีมะเมีย พ.ศ. 2425 ได้เข้าสอบอีกเป็นครั้งสุดท้ายที่พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท ได้เพิ่ม 1 ประโยค รวมเป็นเปรียญธรรม 5 ประโยค

หลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่พระราชานุพัทธมุนีแล้ว โปรดให้ท่านพร้อมด้วยฐานานุกรม 1 รูป มหาเปรียญ 1 รูป และพระอันดับ 4 รูป ย้ายไปอยู่วัดโมลีโลกยาราม โดยมีขบวนแห่ทางเรือประกอบด้วยเรือศรีม่านทองทรงพระพุทธรูป 1 ลำ เรือโขนม่านทองแย่งของพระราชานุพัทธมุนี 1 ลำ เรือม่านลายของพระที่ติดตาม 1 ลำ และเรือดั้งพิณพาทย์กลองแขก 2 ลำ ออกจากวัดระฆังตอนเช้าวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 (ตรงกับวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2430)

เมื่อทรงประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ได้ทรงโปรดฯ ให้ท่าน (ขณะยังเป็นพระธรรมไตรโลกาจารย์) เป็นเจ้าคณะมณฑลนครสวรรค์ และพระราชทานสัญญาบัตรเจ้าคณะมณฑลแก่ท่าน ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันที่ 19 กรกฎาคม ศกนั้น[6] ต่อมาท่านเกิดขัดแย้งกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ถึงกับแสดงกิริยาและวาจามิบังควรเฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบ จึงทรงพระดำริจะถอดท่านจากสมณศักดิ์ แต่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ขอพระราชทานโทษไว้ จึงมีพระบรมราชโองการให้ท่านกราบทูลขอขมาโทษต่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ในท่ามกลางเถรสมาคม ให้ลดนิตยภัตลงมาเท่าพระราชาคณะชั้นสามัญตลอดปี และให้ถอดเสียจากตำแหน่งผู้บัญชาการคณะมณฑลนครสวรรค์